อุตส่าห์ปล่อยมุกฮา ๆ ในเอ็นทรี่รักษาอุโบสถศีล พุทโธ่...แค่นี้เอง จิ๊บ ๆ ที่นำไปใช้ได้จริง เจอเม้นท์กลับมา เล่นเอาฮาไม่ออกไปเลยว่า ศีล ๘ คืออะไร? อุโบสถศีลคืออะไร?
ศีล ๕ คงไม่ต้องพูดถึงละมั๊ง น่าจะรู้จักกันแล้ว (เอ๊ะ...หรือต้องอธิบายด้วย มึนไปหมดแล้ว) จะขออธิบายตามความรู้งู ๆ ปลา ๆ ที่รู้มานี่ละนะ ย้อนกลับไปในกาลก่อน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ประเทศไทยใช้ปฏิทินจันทรคติ คือ ดูพระจันทร์เอา ข้างขึ้น ๑๕ วัน(ค่ำ) ข้างแรม ๑๕ วัน(ค่ำ) เป็นหนึ่งเดือน ทุกวันที่พระจันทร์ข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่เรียกว่า วันเพ็ญ หรือข้างแรม ๑๕ ค่ำ จะเป็นวันพระใหญ่ ส่วนวันที่พระจันทร์ข้างขึ้น หรือข้างแรม ๘ ค่ำ จะเป็นวันพระเล็ก สมัยก่อนวันหยุดราชการ คือวันโกน(วันก่อนวันพระ ๑ วัน) และวันพระ
ในวันพระไม่ว่า วันพระเล็ก หรือ วันพระใหญ่ อุบาสก อุบาสิกา จะไปวัด เพื่อฟังธรรม รักษาอุโบสถศีล และเจริญพระกรรมฐาน อุโบสถศีล คือ การรักษาศีล ๘ วันหนึ่ง กับคืนหนึ่ง เรียกว่า ปกติอุโบสถ ถ้ารักษา ๓ วัน เรียกว่า ปฏิชาครอุโบสถ
ครั้นมาในสมัยที่ประเทศไทย รับเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามา คาดว่า น่าจะเป็นสมัย ร.๕ ต้องปรับมาใช้ปฏิทิน สุริยคติ (ดูพระอาทิตย์เอา) ตามแบบตะวันตก คือ ปฏิทินที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้นั่นละ เพื่อความเป็นอินเตอร์ วันหยุดราชการ เลยถูกเลื่อนจากวันโกนวันพระ มาเป็นวันเสาร์อาทิตย์แทน ธรรมเนียมปฏิบัติ เรื่องวันพระ ก็ดูจะเลือน ๆ ไป แต่ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง ตามต่างจังหวัด และย่านฝั่งธนฯ แต่ไม่คิดว่า ฝั่งพระนคร จะสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง เพียงนี้
ศีล ๘ เป็นศีลเบื้องต้น แห่งการประพฤติพรหมจรรย์ ของอุบาสก อุบาสิกา ผู้ที่รักษาศีล ๘ นิยมนุ่งขาว ห่มขาว เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ ให้เห็นความแตกต่าง แต่ความจริง ศีล ไม่ได้อยู่ที่เครื่องแต่งกาย ศีลอยู่ที่ใจ ฉะนั้น จะห่มขาว หรือไม่ห่มขาว ก็ได้ ถ้าไม่ห่มขาว ควรแต่งกายให้เรียบร้อย ไม่แต่งกายเพื่อความสวยงาม คิดเสียว่า เสื้อผ้ามีไว้เพื่อปกปิดร่างกาย ป้องกันความอับอาย ป้องกัน ยุง ริ้น เหลือบ เรไร ป้องกันความร้อนความหนาว เท่านั้น
ศีลทั้ง ๘ มีดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ข้อนี้ เหมือนศีล ๕ ไม่ขออธิบาย
๒. อะทินนา ทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการลักสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ รวมถึงการโกง การฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วย เหมือนศีล ๕ เช่นกัน ไม่ขออธิบาย
๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ ข้อนี้ เทียบกับศีล ๕ ก็คือข้อกาเมสุมิจฉาจาร แต่แอดว๊านซ์กว่า คือ เว้นจากการมีเพศสัมพันธ์ไปเลย รวมถึงการถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วย ตรงนี้ผู้ที่ต้องทำงานติดต่อผู้คน อาจรักษาได้ยาก อนุโลมว่า ถ้าต้องถูกตัวโดยบังเอิญ ไม่ใช่เพื่อความพอใจ ก็ยังใช้ได้อยู่
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ข้อนี้ เอาคำแปลมาจากวิกิพีเดีย ดูจะเกินกำหนดไป ความจริงก็เว้นจากการพูดปด เหมือนศีล ๕ นั่นแหละ นี่เขาเอา กรรมบถ ๑๐ มารวมด้วย แต่ถ้ากำลังใจสูง ก็เหมามันให้หมดเลยครับ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันนี้ก็เหมือนศีล ๕ เช่นกัน
๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงถึงวันใหม่) อันนี้แหละ ที่ปล่อยมุกไปแล้วแป้ก เป็นข้อที่เขาปฏิบัติกันได้ยากที่สุด และมักเป็นข้ออ้างให้ไม่อยากรักษาศีล ๘ หรือหลังเที่ยงวันไปแล้ว กินได้แต่น้ำปานะ พวกอะไร ๆ ที่เป็นน้ำหน่ะ ถ้าเคี้ยวได้ ไม่นับ ไม่ให้กิน พูดง่าย ๆ ก็งดมื้อเย็น กับมื้อดึก นั่นแหละ
๗. นัจจะคีตะวา ทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะ วิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี และประดับร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา เครื่องย้อม ข้อนี้ยาวเป็นกิโล เวลาสมาทาน เขาจะว่าเป็นท่อน ๆ ตามที่เว้นวรรคไว้ให้นี่แหละ ข้อนี้ก็รักษาไม่ยาก ก็งดดูหนัง ดูทีวี ดูคอนเสริต์ ดูการละเล่น เพื่อความบันเทิงทั้งหลาย งดร้องคาราโอเกะ งดร้องเพลง งดดีดกีต้าร์ งดเล่นเครื่องดนตรีทั้งหลาย เสียวันหนึ่ง และงดพวกเครื่องสำอางค์ เครื่องประดับด้วย ตรงนี้ถ้าแต่งหน้า เพื่อเข้าสังคม ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม ไม่ผิดกติกา
๘. อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ที่เท้าสูงเกิน ภายในมีนุ่นหรือสำลี ข้อนี้ก็ไม่ยากอีกเช่นกัน ลงมานอนพื้น นอนเสื่อสักวันหนึ่ง คงไม่ยากเกินไป (หัวหนุนหมอนได้จ๊ะ แต่น่าจะเว้นหมอนข้างนะ)
ลองปฏิบัติดูครับ แล้วจะเห็นความแตกต่าง จากศีล ๕ และอานิสงส์ก็มากมายมหาศาล อย่างที่เขียนไป เอ็นทรี่ที่แล้วนั่นละครับ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
ปล.ศีล ๘ นี่มีมาก่อนสมัยพุทธกาลอีกนะ ศาสนาพราหมณ์ เขาก็รู้จักศีล ๘ กันมานานแล้ว และที่สำคัญ ในหลวงของเรา รักษาอุโบสถศีล ทุกวันพระด้วยแหละ ตื่นเต้นมะ ที่เขาเอามาทำสารคดีกษัตริย์ยอดกตัญญูหน่ะ ว่าสมัยที่สมเด็จย่ามีทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ไปเสวยข้าวเย็นกับสมเด็จย่า สัปดาห์ละ ๕ วัน อีก ๑ วัน กับพระราชินี ส่วนอีก ๑ วันไม่ได้เสวย เพราะรักษาอุโบสถศีล นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธเลยนาเนี่ยะ ไหงไม่รู้จักกันหว่า
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น